บล็อกสำรวจโลก รวบรวมข้อมูลแปลกใหม่ที่น่าสนใจ

สัมผัสกับ บรรยากาศ สถานที่ท่องเที่ยว ในต่างประเทศ ที่โด่งดัง สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ที่คุณไม่เคยลืม

ค้นหาสิ่งที่แปลกใหม่บนโลกที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อน

สถานที่ท่องเที่ยว อีกหลายที่ ประเทศทั่วในโลก ที่คุณไม่รู้จัก และบางที่มันสวย น่าสัมผัส

แนะนำบรรยากาศ สไตล์แนวใหม่

สัมผัสกับ บรรยากาศ สถานที่ ในต่างประเทศ ที่โด่งดัง สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ที่คุณไม่เคยลืม

บล็อกสำรวจโลก รวบรวมข้อมูลแปลกใหม่ที่น่าสนใจ

สัมผัสกับ บรรยากาศ สถานที่ท่องเที่ยว ในต่างประเทศ ที่โด่งดัง สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ที่คุณไม่เคยลืม

ค้นหาสิ่งที่แปลกใหม่บนโลกที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อน

สถานที่ท่องเที่ยว อีกหลายที่ ประเทศทั่วในโลก ที่คุณไม่รู้จัก และบางที่มันสวย น่าสัมผัส

วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555

สิ่งมหัศจรรย์ ดังข้ามยุคแดนมังกร ที่โลกตะลึง

สิ่งมหัศจรรย์ ดังข้ามยุคแดนมังกร คือ กำแพงเมืองจีน เป็นสิ่งก่อสร้าง 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ตั้งอยู่ทางเหนือของกรุงปักกิ่งเป็นระยะประมาณ 70 กิโลเมตร เริ่มสร้างเมื่อ 2,500 ปีที่แล้ว ในสมัยจ้านกว๋อทีแบ่งแยกดินแดน ทำสงครามสู้รบเพื่อแย่งกันเป็นใหญ่ของแต่ละก๊ก ต่างก็สร้างกำแพงเพื่อความมั่นคงของงตนเอง แนวกำแพงจะทอดตัวลัดเลี้ยวไปตามแนวภูเขาเขตภาคเหนือของจีน ระยะทางยาวกว่า 10,000 ลี้ จึงเรียกว่า “ว่านหลี่ฉางเฉิง” (กำแพงหมื่นลี้) ในอดีตเชื่อกันว่ายาวถึง 9,000 กิโลเมตร
• มาถึงยุคของพระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้ ได้ทรงปราบปรามก๊กต่างๆ ทั้ง 6 ก๊กได้สำเร็จ รวบรวมจีนเป็นหนึ่งเดียว และเพื่อป้องกันชาวซงหนู ชนเผ่าเร่ร่อนที่ทำปศุสัตว์ เข้ามาบุกรุกและปล้นสะดม จึงทรงสั่งให้ปรับปรุงกำแพง และมีการบูรณะแก้ไขเพิ่มเติมทั้งในสมัยฮั่น ถัง และหมิง ปัจจุบันที่เห็นเป็นกำแพงของราชวงศ์หมิง (ค.ศ.1368 – 1644)
• นับเป็นครั้งแรกในโลกที่มีการนำอิฐมาสร้างกำแพงแทนการใช้ดินอัดตามแบบดั้งเดิม ราชวงศ์หมิงสร้างกำแพงช่วงใหม่ขึ้นทางตอนบนของปักกิ่ง ยาว 630 กิโลเมตร โดยหวังจะให้เป็นปราการและหอส่งต่อสัญญาณแจ้งเตือนให้ทางเมืองหลวงรู้ตัว เพื่อจะได้เตรียมต้านรับการบุกโจมตีของชนเผ่าซงหนูจากทางเหนือได้ทันท่วงที โดยทหารยามในหอคอย(สูง 12 เมตร) จะส่งสัญญาณไฟและสัญญาณควันต่อกันมาเป็นทอดๆ ทุกๆ 60 เมตร แต่ในที่สุด กองทัพของแมนจูก็สามารถตีฝ่าแนวกำแพงเมืองจีนบุกเข้ายึดปักกิ่งได้ และตั้งราชวงศ์ชิงขึ้นปกครองจีนแทนราชวงศ์หมิงได้สำเร็จ



 ในส่วนของการท่องเที่ยว  กำเเพงเมืองจีน เป็นสถานที่ที่น่า สนใจของผู้เข้าชม เป็นจำนวนมาก
และ สร้างความมั้นคงในการท่องเที่ยวให้กับ ประเทศจีน มีเงินเข้า ประเทศปีและหลายแสนล้านบาท

ในส่วน ของการ อนุรักษ์ สภาพของกำแพงเมืองจีนในขณะนี้ รายงานผลการสำรวจของนักอนุรักษ์เมื่อปี 2004 กล่าวว่า ขณะนี้ กำแพงเมืองจีนที่ยาว 6,350 กิโลเมตร เหลือให้เห็นเพียง 1/3 เท่านั้น และกำลังสั้นลงเรื่อยๆ ปัญหาเกิดขึ้นเนื่องจากการขาดการดูแลและอนุรักษ์ โดยเฉพาะจากชาวไร่ชาวนาซึ่งอาศัยอยู่ใกล้กำแพงเมืองจีน
 สิ่งมหัศจรรย์ที่ ขึ้นชื่่่อ เเห่งนี้มีความงดงามเเละควรศึกษา ประวัติศาสตร์ เป็นอย่างยิ่ง เป็นสิ่งเดียวที่มองลงมาจากดวงจันทร์  เเล้วเห้นในลักษณะ ทอดยาวของกำเเพง อันมหัศจจย์ สิ่งที่ มนุษย์สร้าขึ้นมาการก่อสร้างกำแพงเมืองจีน ช่วยป้องกันการรุกรานได้หรือไม่ การเข้าครองอำนาจของมองโกล และแมนจู ทั้งสองครั้งเกิดขึ้นจากความอ่อนแอ ของราชวงศ์ที่ปกครองประเทศจีนในขณะนั้นๆ พวกเขาใช้โอกาสในขณะที่เกิดกบฏภายใน เข้ายึดครองประเทศจีน โดยมีการต่อต้านที่น้อยมาก  ถือเป้นการสร้าง ที่วิเศษ ของคนใน ยุคโบราณ

วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555

มหัศจรรย์แหล่งท่องเที่ยวในเมืองไทย

มหัศจรรย์แหล่งท่องเที่ยวในเมืองไทย
ความเป็นมา ของสถานที่เเห่งนี้ โดยเบื้องต้น อำเภอปายเป็นเมืองเก่าแก่ ประชากรที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในดินแดนแห่งนี้มาแต่เดิมคือชาวพ่ายหรือไปร ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใช้ภาษาตระกูลออสโตร-เอเชียติก สาขาว้า-เรียง ดังมีร่องรอยหลักฐานซากวิหารและเจดีย์กระจายอยู่ทั่วไปทั้งบนภูเขาสูง ที่ดอนเชิงเขา บริเวณพื้นราบลุ่มน้ำปาย บางแห่งก่อสร้างด้วยหิน เช่น ในผืนป่าบริเวณใกล้น้ำตกเอิกเกอเต่อ ซึ่งเป็นต้นน้ำแม่ปิงน้อย บางแห่งมีการขุดคูเป็นร่องลึกบนภูเขาสูงชัน มีเจดีย์บนยอดเขา
                      สิ่งมหัสจรรย์ที่ มีในเมืองไทย นี้ ถือ เป็นสิ่งที่เด่น อีกมากมาย เติมเต็ม
     ความสวยงามในสถานที่เช่นจุดชมวิวหยุนไหล ตั้งอยู่ในปาย เลยหมู่บ้านสันติชล
               ไปประมาณ 1.6 กิโลเมตร บนจุดชมวิวหยุนไหล สามารถมองเห็นทิวทัศน์
                    เมืองปายได้ 360 องศา ชมทะเลหมอกในยามเช้า พร้อมกับวิวตัวเมือง
             อำเภอปายที่สวย
 แหล่งธรรมชาติที่ งดงาม เเละอุดมไปด้ว ดอกไม้ ในฤดูหนาวที่มี สีสันแปลกตากับผู้ พบเห็น
ที่ได้เข้าชมก็เป้นมนต์สเน่ห์ ให้ เมือง ปายเป้น สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ อีกที่หนึ่ง
ซึ่งนักท่องเที่ยวมีความสนใจกันเดินทางมาเข้าชม ทั้ง คนในเเละต่าง ประเทศกันจำนวนมาก
 ในการเดินทางเข้าชม
โดยรถยนต์ สำหรับวันหยุดพักผ่อนยาวๆ และเป็นผู้รักการปวดก้นในการขับขี่ จากกรุงเทพใช้ทางหลวงหมายเลข 1 (พหลโยธิน) แยกเข้าทางหลวงหมายเลข 32 (สายเอเซีย) ผ่านอยุธยา อ่างทอง นครสวรรค์ หลังจากนั้ใช้ทางหลวงหมายเลข 117 ไปยังพิษณุโลก ต่อด้วยทางหลวงหมายเลข 11 ผ่านลำปางลำพูนถึงเชียงใหม่ ระยะทางประมาณ 695 กิโลเมตร
อีกทางหนึ่งคือจากนครสวรรค์ไปตามทางหลวงหมายเลข 1 ผ่านกำแพงเพชร ตาก และลำปางถึงเชียงใหม่ ระยะทางประมาณ 696 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 9 ชั่วโมง
:: ทางรถทัวร์โดยสาร (หลับมาเลยถึงเชียงใหม่เช้าพอดี ได้ชื่นชมวิวมืดข้างทาง) มีรถประจำทางปรับอากาศสายกรุงเทพฯ – เชียงใหม่ ออกจากสถานีขนส่งสายเหนือ ถนนกำแพงเพชร2 ทุกวันๆละหลายเที่ยว ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 ชั่วโมง สอบถามรายละเอียดได้ที่
  • บริษัทขนส่งจำกัด
  • หมอชิต โทรศัพท์ 0 2936 2852-66
  • สถานีขนส่งเชียงใหม่ โทรศัพท์ 0 5324 1449
  • ทันจิตต์ทัวร์
  • หมอชิต โทรศัพท์ 02936 3210
  • สถานีขนส่งเชียงใหม่ โทรศัพท์ 0 5324 7569
  • นครชัยแอร์
  • หมอชิต โทรศัพท์ 02936 3900
  • สถานีขนส่งเชียงใหม่ โทรศัพท์ 05326 9777
:: ทางรถไฟ (อันนี้เป็นนักท่องเที่ยวคลาสสิค ไม่รีบไร้ธุระดื่มเบียร์ชมวิว) มีรถด่วนและรถเร็ว ออกจากสถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) ทุกวันสอบถามรายละเอียดได้ที่
  • การรถไฟแห่งประเทศไทย โทร 0 2223-7010, 0 2223-7020
  • สถานีหัวลำโพง โทรศัพท์ 0 2223 3762, 0 2220 4334
  • สถานีเชียงใหม่ โทรศัพท์ 0 5324 4795, 0 5324 5363
 เเละความ งดงามในการชมพระอาทิตย์ ทั้ง  ขึ้น เเละ ลง  ในช่วงเวลาหน้าหนาว
หรือมีทะเลหมอกที่คนเรียกกันนั้นเอง

วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2555

มหัศจรรย์ทะเลสาบ เดดซี

มหัศจรรย์ทะเลสาบ เดดซี
 น้ำเค็มที่มีความเข้มข้นของเกลือสูงมาก อยู่ระหว่างเขตจอร์แดนและอิสราเอล ระดับน้ำอยู่ต่ำที่สุดในบรรดาทะเลทั้งหลาย กล่าวคือต่ำกว่าระดับน้ำทะเลปานกลางลงไปอีกประมาณ 400 เมตร ตอนเหนือเป็นของจอร์แดน ตอนใต้แบ่งเป็นของจอร์แดนและอิสราเอล
 และมีการนำ เเร่ะาตุที่หลากหลายชนิด นำไปใช้ ในการทดลองทางวิทยาศาสตร์ เเละเป็น สถานที่ ท่องเที่ยว สำหรับผู้ที่เดินทางเที่ยวชมทั้งในเเละนอกประเทศ ทะเลสาบเดดซี เป้นสถานที่ท่องเที่ยวที่ดึงดูดผู้คนจำนวนมาก ที่เข้ามาชม ความมหัศจรรย์ของการลอยในน้ำเเล้วไม่จม เหมือนกับทะเลสถานที่อื่นๆ
ทั่วโลก


 สิ่งที่มหัศจรรย์ ในสถานที่เเห่งนี้คือ
การลอยอยู่บนผิวน้ำ ในทะเลสาบเดดซีสาเหตุที่ทำเราไม่จมในทะเลสาบเดดซี ก็เป็นเพราะน้ำในทะเลซึ่งมีเกลือละลาย อยู่ในน้ำมากถึง 25% ทำให้น้ำในทะเลเดดซี มีความหนาแน่นมากเป็นพิเศษ คนที่ลงไปเล่นน้ำในทะเลสาบแห่งนี้จะไม่มีวันจมน้ำ ไม่ว่าจะตัวเราจะอ้วน หรือหนักขนาดไหนก็ยังความหนแน่นน้อยกว่าน้ำของทะเลสาบอยู่ดี ขณะที่ทะเลสาบในที่อื่นๆ
 ทะเลสาปแห่งนี้ เป็นทะเลที่เค็มที่สุดในโลก คนชาวอาหรับจะเรียกทะเลสาบเดดซีกันว่า "อัลบาห์รัลไมยิต” ซึ่งมีหมายความว่า ทะเลแห่งความตายเช่นเดียวกับภาษาอังกฤษ ขณะที่ ภาษาฮีบรูเรียกทะเลสาบนี้ว่า "ยัมฮาเมละฮ์" ซึ่งหมายความว่า "ทะเลเกลือ" ทะเลสาบเดดซี เป็นทะเลสาบที่มีความเค็มที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ เค็มกว่าทะเลอื่นๆถึง 4 เท่า มีความยาว 76 กิโลเมตร กว้างถึง 18 กิโลเมตร 

วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2555

มหัศจรรย์กลางทะเลทราย

 ความมหัศจรรย์ ในใจกลางทะเล ทราย แห่งนี้ คือ ทะเลสาบอูเนียงา ตั้งอยู่ในแอ่งน้ำตื้นใต้ผาหินทรายและเนินเขาจากจุดที่น้ำเคยไหลผ่านในอดีต แม้ลมทางตะวันออกเฉียงเหนือพัดผ่านเกือบตลอดปีและไม่มีเมฆฝนจนก่อให้เกิดอัตราการระเหยสูง แต่ก้นทะเลสาบนั้นอุดมไปด้วยน้ำและมีขนาดใหญ่พอที่จะเก็บกักและปล่อยน้ำไหลสู่ทะเลสาบน้อยใหญ่ ถือเป็นความอัศจรรย์ของระบบอุทกวิทยาที่สามารถรักษาสภาพ ทะเลสาบอูเนียงา เป็นที่น่าสนใจ
เเละถือ เป็น มรดกทางธรรมชาติ ที่ยังมีสภาพ สมบูรณ์ในการศึกษาระบบนิเวทวิทยา



 และความน่าสนใจน่าทะเลสาบอูเนียงา แห่งนี้ได้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม อยู่ห่างกัน 40 กิโลเมตร แต่ละแห่งแตกต่างกันในด้านองค์ประกอบทางเคมี บางแห่งเป็นทะเลสาบน้ำจืด บางแห่งเป็นทะเลสาบน้ำเค็ม ทะเลสาบที่มีความสำคัญทางชีวภาพมากที่สุดและใหญ่ที่สุด คือ ทะเลสาบ Teli มีพื้นที่ครอบคลุม 4.4 ตารางกิโลเมตร และลึกสุด 10 เมตร อยู่ในกลุ่มทางตะวันออก ซึ่งตั้งชื่อว่า Ounianga Serir เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่หล่อหลอมชีวิตมากมาย ด้วยสารตั้งต้นทางเคมีทำให้ทรายมีรูพรุนมากมาย จึงส่งผลให้น้ำสามารถเคลื่อนตัวอย่างมีอิสระไหลเวียนระหว่าง ทะเลสาบ Teli และ ทะเลสาบเล็กๆ อีก 13 แห่ง ในกลุ่มตะวันออกOunianga Kebir ทะเลสาบกลุ่มตะวันตก ของ ทะเลสาบอูเนียงา ประกอบด้วย ทะเลสาบ 4 แห่ง แหล่งที่ใหญ่ที่สุดคือ ทะเลสาบ Yoan มีพื้นที่ 3.6 ตารางกิโลเมตร ลึก 27 เมตร เป็นทะเลสาบน้ำเค็ม ซึ่งเค็มจัดจนกระทั่งมีเพียง สาหร่ายและจุลินทรีย์บางชนิดที่อยู่รอด หินรอบชายฝั่งมีสีขาวจากคราบเกลือ มีประชากรกว่า 9,000 ชีวิต อาศัยอยู่รอบบริเวณทะเลสาบแห่งนี้




วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2555

มหัศจรรย์ อลังการพระราชวังแวร์ซาย


มหัศจรรย์ อลังการพระราชวังแวร์ซาย 
 พระราชวังแวร์ซาย  เป็นพระราชวังหลวงแห่งหนึ่งของประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่ที่แวร์ซาย ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของกรุงปารีส พระราชวังแวร์ซายเป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่และสวยงามแห่งหนึ่งของโลก และนับเป็นหนึ่งใน เจ้ด ของสิ่งมหัศจรรย์ ที่โลกได้ กำหนดแห่งยุค
 ประวัติของพระราชวัง ชื่อดัง เดิมนั้น เมืองแวร์ซายเป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งเท่านั้น มีผู้คนอาศัยอยู่เบาบาง บริเวณส่วนใหญ่เป็นป่าเขา เยี่ยงชนบทอื่น ๆ ของฝรั่งเศส เมื่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 13เเห่ง ฝรั่งเศษ ยังทรงพระเยาว์ ขณะพระชนมายุได้ 23 พระชันษา ทรงนิยมล่าสัตว์ในป่า และทรงเห็นว่าตำบลแวร์ซายน่าจะเหมาะแก่การประทับเพื่อล่าสัตว์ จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระตำหนักขึ้นมาใน พ.ศ.2167โดยในช่วงแรกเป็นเพียงกระท่อมเล็กๆ สำหรับพักชั่วคราวเท่านั้น
เมื่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 13เเห่ง ฝรั่งเศษ  แห่งฝรั่งเศส ขึ้นครองบัลลังก์ มีประสงค์ที่จะสร้างพระราชวังแห่งใหม่ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการปกครองของพระองค์ จึงเริ่มปรับปรุงพระตำหนักเดิมในปี  พ.ศ.2204ใช้เงินทั้งหมด 500,000,000 ฟรังก์ คนงาน 30,000 คน และใช้เวลาอยู่ถึง 30 ปีจึงแล้วเสร็จในพ.ศ.2231ทุกส่วนทำด้วยหินอ่อนสีขาว เป็นแบบอย่างศิลปกรรมที่งดงามมาก ภาย ในแบ่งออกเป็นห้องๆ เช่น ห้องบรรทม ห้องเสวย ห้องสำราญ ฯลฯ ทุกห้องล้วนมีเครื่องประดับงดงามตระการตาและภาพเขียนที่มีชื่อเสียงทางด้าน ความงด งามที่โดเด่น ของฝรั่งเศษ

                                         มหัศจรรย์ อลังการพระราชวังแวร์ซาย 
เป็นที่น่าสนใจ จึงถูกขึ้นเป็น มรดกโลก ของฝรั่งเศษที่มีความงดงาม ตระการตาดึงดูดนักท่องเที่ยว หลั่งไหลมา เข้ามาเยี่ยมชมกันจำนวนมาก และเป็นพิพิธภัณฑ์ทางศิลของกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส 
ที่ควรศึกษา ทางด้าน ประวัติศาสตร์ซึ่งปัจจุบันเป็นสถานที่ที่จัดแสดงและเก็บรักษาที่ทรงคุณค่าระดับโลกซึ่งได้เปิดให้สาธารณชนเข้าชม เเละมีภาพ เขียน ที่เก่าแก่ที่มีลักษณะ ที่น่าสนใจ 
และพระราชวังอันงดงามโดดเด่น แห่งนี้ มีอายุ ประมาณ 300 ปี  เป็นการรักษาสิ่ฝร้ำค่า ใว้ได้ดีที่สุด




มหัสจรรย์ โบราณสถาน แห่ง สยาม

มหัสจรรย์ โบราณสถาน แห่ง สยามประเทศ
 ความมหัศจรรย์ที่ได้ค้นพบ
          สมัยโบราณนิยมนำทองคำมาประกอบตกแต่งสิ่งต่าง ๆ ให้วิจิตรงดงาม โดยใช้เป็นทองคำเปลว และจากการตรวจสอบพบว่าทองคำเปลวนั้นรู้จักทำ และใช้กันแพร่หลายตั้งแต่สมัยทวาราวดี (พุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๖) ในจดหมายเหตุจีนกล่าวไว้ว่า "บัลลังก์บ้าง มณฑปบ้าง ปราสาทราชวัง และคานหามบ้าง รวมทั้งเครื่องใช้อื่น ๆ ของกษัตริย์ในดินแดนเอเซียอาคเนย์ ล้วนทำด้วยทองคำ" อาณาจักรทวาราวดี หรือศูนย์กลางของดินแดนที่ชาวอินเดียโบราณขนานนามว่า "สุวรรณภูมิ" (หมายถึงเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด) จะเป็นถิ่นที่มีทองคำหรือโภคทรัพย์อุดมสมบูรณ์มาก และกรุงศรีอยุธยา หรือ "กรุงเทพมหานครบวรทวาราวดีศรีอยุธยา" ซึ่งตั้งขึ้นภายหลัง น่าจะมีทองมาก เพราะทั้งชื่อกรุงและปฐมกษัตริย์ผู้สถาปนากรุง ล้วนเกี่ยวข้องกับทองทั้งสิ้น เเละถือ ไดว่า บรรพบุรุษ ได้สร้าง ความมหัศจรรย์
ที่ควรศึกษา ทางด้าน ประวัติศาสตร์ ,ด้านสิลปกรรม ต่างๆนาๆ ทำให้มีจุดสนจน และมีผู่คนทั่ว สารทิศ
หลั่งใหลเข้ามาเยี่ยมชม เมืองโบราณ อันงดงาม ของไทย


มีการพบกรุสมบัติในสมัยกรุงศรีอยุธยา นับเป็นหลักฐานยืนยันถึงความรุ่งเรืองมั่งคั่ง ของอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา และจากการที่จับคนร้ายที่ลักลอบขุดกรุที่วัดราชบูรณะ รวมกับที่กรมศิลปากรได้ทำการขุดค้นต่อไปอีก หลังจากนั้นได้พบเครื่องทอง และสมบัติต่าง ๆ มากมาย
ทรัพย์สมบัติที่ขุดพบในกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะ มีหลายประเภทส่วนใหญ่จะเป็น เครื่องราชูปโภคที่ทำเป็นชุดเชี่ยนหมาก ตัวถาดรูปยาวรีคล้ายใบพลู หูล้อมสุพรรณศรี จอกน้ำและลูกหมากทองคำ เครื่องตันหรือเครื่องทรง สำหรับพระมหากษัตริย์ เช่น กรองศอ สร้อยข้อมือ สร้อยคอ กำไล พาหุรัด ทองพระกรที่ล้วนแต่ทำเป็นลวดลายและฝังอัญมณีต่าง ๆ ที่วิจิตรงดงาม รูปเคารพในทางศาสนา เช่น สถูปจำลองทำเป็นเจดีย์ทรงลังกา พระพุทธรูปปางมารวิชัยในซุ้มเรือนแก้ว ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ พระพุทธรูปทองคำดุน ปางมารวิชัย ในซุ้มเรือนแก้วและพระคชาธาร ทรงเครื่องพร้อมสัปคับ ประดับพลอยสี เป็นต้น
จากหลักฐานข้อมูลการค้นพบทั้งหมด สามารถจำแนกเครื่องทองที่ขุดได้จากกรุ พระปรางค์วัดราชบูรณะได้เป็น ๔ ส่วน
ส่วนที่ 1 ทองจากที่คนร้ายขุดได้ จะเป็นทองคำหนักทั้งสิ้น ประมาณ ๗๕ กก.
ส่วนที่ 2 เป็นเครื่องทองที่เป็นกองกลาง เนื่องจากเป็นวัตถุสิ่งของขนาดใหญ่ มีน้ำหนักไม่ตำกว่า ๑๐ กก. ส่วนที่ 3 เป็นเครื่องทองที่กรมศิลปากรขุดได้ภายหลังเป็นจำนวนทั้งสิ้น ๒,๑๒๑ ชิ้น ทั้งที่ทำด้วยทอง นาค เงิน รวมทั้งเพชรนิลจินดา มีน้ำหนักรวมทั้งสิ้นประมาณ ๑๙,000 กรัม พลอยหัวแก้วหัวแหวนและทับทิมหนัก ๑,๘๐๐ กรัม แก้วผลึกชนิดต่าง ๆ หนัก ๑,๐๕๐ กรัม และลูกปัดเงินกับทับทิมปนกันหนัก ๒๕๐ กรัม
ส่วนที่ 4 เป็นเครื่องทองส่วนที่ตกสูญหาย ประมาณว่าไม่ต่ำกว่า ๑๐ กก. รวมทั้งเครื่องทองที่ยึดคืนมาได้ ที่ไม่ถึง ๑ ใน ๑๐ ส่วน
จากที่กล่าวมาแล้ว จะเห็นได้ว่า เครื่องทองที่บรรจุในกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะแห่งเดียว นั้นมีทองคำหนักกว่า ๑๐๐ กก. นอกจากนั้นการที่กรุงศรีอยุธยามี พระปรางค์ เจดีย์ ศาสนวัตถุมากมาย ประกอบกับอดีตนั้นคนกรุงเก่ามีความเชื่อในเรื่อง การสืบอายุพระพุทธศาสนา โดยการทำบุญอุทิศส่วนกุศลด้วย ทอง เงิน นาค แก้วแหวนต่าง ๆ น่าจะทำให้กรุงศรีอยุธยา เป็นอาณาจักรที่ร่ำรวยอุดมสมบูรณ์ด้วยโภคทรัพย์ และปัจจัยที่ทำให้ผู้คนในอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา มีความพรั่งพร้อมก็คือ

 ทางด้านภูมิสาสตร์
เนื่องจากกรุงศรีอยุธยา เป็นที่รวมหรือชุมทางของ แม่น้ำลำคลองหลายสิบสาย เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง ทั้งที่เป็น ธรรมชาติและที่ขุดขึ้นใหม่ภายหลัง ทำให้กรุงศรีอยุธยา เป็นแหล่งชุมชนทางน้ำ ซึ่งพงศาวดารเหนือได้กล่าวไว้ว่า "กรุงเทพมหานครบวรทวาราวดีศรีอยุธยา เป็นเมืองท่าสำเภา และเมืองท่าน้ำ" ส่วนชาวเปอร์เซีย กล่าวว่า "เป็นเมืองแห่งนาวา"

ด้านศิลปะวัฒนธรรม

เนื่องจากกรุงศรีอยุธยา ตั้งอยู่ท่ามกลางอาณาจักรเก่าแก่โบราณมากมาย เช่น ทวาราวดี ขอม และสุโขทัย เป็นต้น แม้ว่าบางแห่งจะล่มสลายไปแล้ว แต่แบบอย่างแนวทางในการศึกษาเรียนรู้ในมรดกทางศิลปะวัฒนธรรม ยังคงอยู่ เช่น สุโขทัยจะมีฝีมือเป็นเอกทางด้านงานประติมากรรม ส่วนกรุงศรีอยุธยาเองนั้นจะเป็นเอกในด้านงานประณีตศิลป์ เป็นต้น


วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2555

มหัศจรรย์ ภูฝอยลม

มหัศจรรย์ ภูฝอยลม






ภูฝอยลม
    ภูฝอยลม  ตั้งอยู่บนเทือกเขาภูพานน้อย ที่อำเภอหนองแสง จังหวัดอุดรธานี สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 600 เมตร อากาศเย็นสบายตลอดปี ชื่อของภูฝอยลมมาจากไลเคนชนิดหนึ่ง คือ "ฝอยลม"ซึ่งเคยพบเกาะอาศัยอยู่ตามกิ่งของต้นไม้ใหญ่ในบริเวณนี้ แต่ปัจจุบันพบได้น้อยลงเนื่องจากป่าถูกบุกรุกจนมีสภาพเสื่อมโทรม ปัจจุบันมีการจัดตั้งเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศเพื่ออนุรักษ์ธรรมชาติและให้เป็นที่ทัศนศึกษาของประชาชน ประกอบด้วยสวนรวมพรรณไม้ 60 พรรษา มหาราชินี อุทยานโลกล้านปี มีหุ่นจำลองไดโนเสาร์ และพิพิธภัณฑ์แสดงซากสัตว์ดึกดำบรรพ์ และมีเส้นทางเดินป่าศึกษาธรรมชาติซึ่งจะได้พบป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง ป่าเต็งรัง สลับป่าทุ่งหญ้า น้ำตกเล็ก ๆ และถ้ำ อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าพันดอน-ปะโค มีเนื้อที่ 192,350 ไร่ บนเทือกเขาภูพานน้อย เขตตำบลทับกุง ภูฝอยลมจัดเป็นศูนย์ศึกษาธรรมชาติที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในภาคอีสาน มีแปลงปลูกสาธิต บริเวณจุดชมวิวสามารถมองเห็นทิวทัศน์ตัวเมืองอุดรธานี ภูฝอยลมมีบ้านพักไว้บริการนักท่องเที่ยว และสามารถตั้งแคมป์พักแรมได้ มีกิจกรรมเดินป่า 

    สอบถามรายละเอียด โทร. 0 4291 0902, 0 4225 0207, 08 9710 2633

    หรือเว็บไซต์ภูฝอยลม http://www.phufoilom.com/
  การเดินทาง หากเดินทางมาตามเส้นทางขอนแก่น-อุดรธานี เมื่อเลยอำเภอโนนสะอาดมาแล้วจะพบทางแยกซ้ายที่บ้านห้วยเกิ้งไปภูฝอยลม รถยนต์สามารถขึ้นถึงบนภูได้โดยสะดวก
    ใช้เส้นทางอุดรธานี-เลย เลี้ยวเข้าแยกบ้านเหล่ากิโลเมตรที่ 9
การเดินทางสู่ภูฝอยลม หากเดินทางมาตามเส้นทางขอนแก่น-อุดรธานี เมื่อเลยอำเภอโนนสะอาดมาแล้วจะพบทางแยกซ้ายที่บ้านห้วยเกิ้งไปภูฝอยลม รถยนต์สามารถขึ้นถึงบนภูได้โดยสะดวก หากเดินทางจากตัวเมืองอุดรธานีขับรถตามทางหลวงหมายเลข 210 มุ่งหน้าหนองบัวลำภูจะมีทางแยกเลี้ยวซ้ายไปทางอำเภอหนองแสง
 เส้นทางขึ้นภูฝอยลม เป็นทางลาดยางไม่ลำบากมากแต่มีทางโค้งลาดชันหลายแห่งตามปกติของการเดินทางขึ้นยอดเขา วันที่มีฝนตกถนนจะลื่นให้เพิ่มความระมัดระวังในการเดินทาง เมื่อผ่านเส้นทางลาดชันมาได้สักระยะหนึ่งจะมีด่านตรวจสำหรับลงชื่อเข้าชม ด้านหน้าของด่านตรวจแห่งนี้มีสวนไม้ดอกสวยๆ ไว้คอยต้อนรับนักท่องเที่ยว ระบบค่าธรรมเนียมของภูฝอยลมไม่ได้กำหนดตายตัว เจ้าหน้าที่จะบอกว่า นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชมภูฝอยลม จะบริจาคเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาพรรณไม้ และป่าที่อุดมสมบูรณ์ ผืนนี้ได้ตามต้องการ

 ผ่านด่านตรวจเข้ามาจะพบกับพื้นที่สวนป่าโดยแบ่งเป็นเขต แต่ละเขตปลูกต้นไม้ต่างกันเพื่อประโยชน์ในการศึกษาหาความรู้ ได้แก่ กลุ่มพืชสมุนไพร กลุ่มพืชโภขนาการ กลุ่มไม้เศรษฐกิจ กลุ่มพืชมีพิษ พรรณไม้พุทธประวัติ พรรณไม้ในวรรณคดี พรรณไม้พระราชทานประจำจังหวัด กลุ่มไม้มงคล กลุ่มไม้ดอกยืนต้น กลุ่มไม้มงคล 9 ชนิด กลุ่มวงศ์ปาล์ม พรรณไม้เฉลิมพระเกียรติ
 สวนป่าแต่ละกลุ่มเหล่านี้ บางกลุ่มอยู่ติดกับถนน มองเห็นป้ายชื่อบอกทางเข้าไปเดินชมและศึกษาพรรณไม้ หลายกลุ่มไม่ได้อยู่ติดกับถนนแต่อยู่ลึกเข้าไป ต่อจากกลุ่มแรกที่อยู่ริมทาง

 จากนั้นขับรถเข้ามาเรื่อยๆ จะมีทางแยกเข้าชมสวนรวมพรรณไม้ 60 พรรษา มหาราชินี อยู่ด้านขวามือ เป็นไฮไลท์ที่ได้รับความนิยมของนักท่องเที่ยวมากที่สุดของภูฝอยลม แต่ตอนนี้เราจะขอตรงเข้าไปในพื้นที่อื่นๆ ก่อน จุดไฮไลท์จะใช้เวลาเดินชมนานเป็นพิเศษดังนั้นไปดูจุดอื่นๆ ก่อนดีกว่าครับ

 ดอกไม้ที่ขึ้นชื่อ ดอกทิวลิป  นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ถ่ายภาพดอกทิวลิป เป็นที่ระลึก ภายในงานจัดขึ้นที่อำเภอหนองแสง จังหวัดอุดรธานี พร้อมจับจองพื้นที่เพื่อกางเต็นท์ รับอากาศหนาวในยามค่ำคืน ซึ่งถือเป็นกิจกรรมยอดนิยมในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2555  โดยปีที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวนิยมมากางเต็นท์พักคืนมากกว่า 1 แสนคน  ทั้งนี้ โครงการแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ภูฝอยลม ถือเป็นแหล่งปลูกดอกทิวลิป แห่งแรกและขึ้นชื่อในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  และดอกทิวลิปบานไปจนถึงวันที่ 8 มกราคม 2555 นี้. 


    กิจกรรมที่น่าสนใจ ภูลมโลมีงานเทศกาลดอกทิวลิปบานจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในช่วงปลายเดือนธันวาคม   ก่อนเดินทางควรตรวจสอบช้อมูลก่อน

วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2555

มหัศจรรย์ ใต้ พิภพ

มหัศจรรย์ ใต้ พิภพ แห่งนิวซีเเลนด์
 ไว-โอ-ทาปุ (Wai-O-Tapu) เรียกกันใน เรียกกันในภาษาเมารี ว่า Sacred Waters หรือ น้ำศักดิ์สิทธิ์ ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของ Wai-O-Tapu Thermal Wonderland ไว-โอ-ทาปุ เป็น แหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพ ที่มีชื่อเสียงมากเป็นอันดับต้นๆ ของนิวซีแลนด์

ที่น่าค้นหา และมีความสวยงามทางลักษณะภูมิประเทศ เป็นสถานที่ที่พลาดไม่ได้ หากใครมีโอกาสได้ไปเยือนประเทศนิวซีแลนด์ไว-โอ-ทาปุ” เป็นบริเวณที่มีพลังงานความร้อนใต้พิภพ เป็น แหล่งท่องเที่ยว ที่มีความโดดเด่นทางลักษณะภูมิประเทศ ที่เป็นสีส้ม มีน้ำพุร้อนที่หลากหลายรูปแบบ อาทิเช่น บ่อน้ำร้อน, บ่อโคลนเดือด, น้ำพุโคลน, บ่อน้ำร้อนเทอร์เรซ (บ่อน้ำพุร้อนที่เป็นระเบียง) เป็นต้น ที่ ไว-โอ-ทาปุ แหล่งนี้ มีจุดท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม และงดงามมากเป็นพิเศษ คือ

ลดี้น็อกซ์ ไกเซอร์ (Lady Knox Geyser) น้ำพุร้อน ที่พวยพุ่งขึ้นมาจากหินที่มีรูปทรงเป็นกรวยสีขาว ในการพวยพุ่งขึ้นแต่ละครั้งของน้ำพุร้อนเลดี้น็อกซ์ ไกเซอร์ นี้ มีความสูงถึง 20 เมตร และยังรักษาระดับความสูงได้นานประมาณ 1 ชั่วโมงได้เลยทีเดียว

แชมแปญ พูล (Champagne Pool) บ่อน้ำพุร้อน ขนาดใหญ่ ที่มีลักษณะคล้ายกับสระว่ายน้ำ อีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวนิยมแวะมาชื่นชม และเก็บภาพความสวยงามไว้มากที่สุด สิ่งทีทำให้เกิดความมหัศจรรย์ขึ้น ในบ่อน้ำพุแห่งนี้ คือ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO 2) ซึ่งทำปฏิกิริยาให้เกิดฟองขึ้นมา คล้ายกับฟองแชมเปญ ขนาดของบ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้ สามารถวัดระยะจากปากบ่อได้ความกว้างราว 65 เมตร ระดับความลึกราว 62 เมตร

สถานที่ในบริเวณ ไว-โอ-ทาปุ ที่น่าสนใจ และน่าค้นหายังมีอยู่อีกมาก ที่เพื่อนๆ ไม่ควรพลาดที่จะไปสัมผัส เช่น จานสีของศิลปิน ( Artist’s Palette), พริมโรส เทอเรส ( Primrose Terrace) และ แอ่งโคลนเดือด หรือ พุโคลน (Mud Pools)
สถานที่ ท่องเที่ยว ที่สำคัญของ ไว-โอ-ทาปุด้แก่ น้ำพุร้อน บ่อน้ำร้อน น้ำพุโคลน แต่ที่โดดเด่นที่สุด คือ Lady Knox Geyser อยู่ในเขต ภูเขาไฟเทาโป เป็น น้ำพุร้อนที่พวยพุ่งออกจากหินทรงกรวยสีขาว โดยน้ำสามารถพุ่งขึ้นสูงถึง 20 เมตร และรักษาระดับความสูงไว้ได้นานกว่า 1 ชั่วโมง

 จุดท่องเที่ยวอื่นๆ ของ ไวโอทาปุ ได้แก่ จานสีของศิลปิน (Artist’s Palette) พริมโรส เทอเรส ( Primrose Terrace) และ แอ่งโคลนเดือด หรือ พุโคลน (Mud Pools)




อีกหนึ่งแห่งที่น่าสนใจของ ไว-โอ-ทาปุ คือ แชมเปญ พูล (Champagne Pool) บ่อน้ำพุร้อนขนาดใหญ่ ลักษณะคล้ายสระว่ายน้ำ ซึ่งภายในสระนั้นเต็มไปด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และให้ฟองอากาศที่คล้ายกับฟองแชมเปญ บ่อกว้างประมาณ 65 เมตร ลึกประมาณ 62 เมตร แชมเปญ พูล ถือเป็นหนึ่งจุดท่องเที่ยวที่ถูกถ่ายภาพมากที่สุดใน ไว-โอ-ทาปุ